วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปาฏิหาริย์ แม่ย่านาง

"ปาฏิหาริย์" พลังพุทธคุณที่ต้องมีบุญหนุนนำ
"รอดตายปาฏิหาริย์" มักปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และหนังสือพระอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นนักการเมืองใหญ่ ดาราดัง และบุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม นอกจากจะสามารถชิงพื้นที่ข่าวแล้ว ยังมีการขยายเหตุแห่งปาฏิหาริย์นั้นออกไปอีก โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า แขวนพระเครื่อง หรือพกพาเครื่องรางของขลังจากวัดใด หรือพระเกจิอาจารย์รูปใดเป็นผู้สร้าง และร่วมปลุกเสกบ้าง แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่อง บุญ และ กุศลกรรม ที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้เลย
โดยเหตุแห่งปาฏิหาริย์นั้น นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎ พบกรรมทฤษฎี ธรรมประยุกต์ ผู้เขียนหนังสือ อธิบายให้ฟังว่า คนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วรอดตาย แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ
๑.แขวนพระเครื่อง อธิบายได้ว่า พลังจิตของพระที่มีอภิญญาบรรจุไว้ในพระเครื่องแสดงพลังออกมาในขณะนั้น
๒.อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้แขวนอะไรเลย เกิดจากบุญบารมีที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เทพประจำตัวมาช่วยในเวลาคับขัน
อย่างไรก็ตาม พลังทั้ง ๒ อย่างนี้ หากพูดในด้านศาสนาในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกทีฆนิกาย เป็นเรื่องของการบวชเป็นพระ มีผลดี ๑๔ ข้อ โดยเฉพาะข้อที่ ๙ คือ เมื่อสมณะได้บรรลุฌานที่แล้วสามารถจะน้อมจิตเพื่ออิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ได้ เพราะฉะนั้น ฤทธิ์ที่ว่านี้ พระสงฆ์สำเร็จฌานขั้นที่ ๔ สามารถแสดงให้ปรากฏต่อสายตาได้ ส่วนความหมายของคำว่า ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึง การเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐานถึง
อันดับที่ ๑ เรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึง
อันดับที่ ๒ เรียกว่า ทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒ ถึง
อันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่า ฌาน ๓ ถึง
อันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔ ถึง
อันดับที่แปด คือได้ อรูปฌาน ถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
"ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุนั้น มีฤทธิ์จากพระเครื่องและเทวดาที่ปกปักรักษาสร้างเครื่องกีดกันไม่ไห้ได้รับอันตราย เปรียบได้กับถุงลมนิรภัย รวมทั้งมีการเบี่ยงเบนวัตถุให้เคลื่อนไปในทิศทางที่ปลอดภัย ที่สำคัญ คือ ต้องมีบุญเดิมอยู่มาผสมผสานกับพลังในวัตถุมงคล หากบุญเราไม่มีเลย สิ่งหนึ่งต้องพึ่งระวัง คือ เมื่อเกิดปาฏิหาริย์ต้องสร้างบุญเพิ่ม เพื่อเป็นทุนที่จะป้องเหตุร้ายในคราวต่อไป เพราะเมื่อเราหมดบุญ เราก็อาจจะหมดลมหายใจ" โอฬารกล่าว พร้อมกันนี้ นายโอฬาร ยังบอกด้วยว่า พระภิกษุหรือฆราวาสก็ตาม ที่จะปลุกเสกน้ำมนต์ พระเครื่อง วัตถุมงคลต่างๆ ย่อมจะเป็นผู้มีพลังจิตสูง เช่น เจริญสมถะกรรมฐาน ได้รูปฌาน ๔ เป็นต้น พลังจิตในผู้นั้น นอกจากจะน้อมจิตมาให้เกิดความสามารถพิเศษ เช่น แสดงฤทธิ์ต่างๆ มี อาทิ หายตัว เดินน้ำ ดำดิน หรือ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ฯลฯ (ระบุในสามัญผลสูตร, สีลขันธวรรค, ทีฆนิกาย, พระสุตตันตปิฎก) แล้ว ก็ยังสามารถเอาพลังจิตนั้นมาแผ่ใส่ในวัตถุมงคลต่างๆ ให้เก็บรับพลังไว้ ตามแต่การตั้งเจตนาในจิต เช่น ให้มีพลังความเมตตา ให้แคล้วคลาดจากภยันตราย ให้คงกระพันชาตรี เป็นต้น ทั้งนี้ จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่าสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก เมื่อพิจารณาในสถานะ ควอนตัม แล้ว จะมีตัวรู้ รับรู้เก็บข้อมูลต่างๆ ได้ จึงอธิบายได้ชัดเจนว่า ทำไมพลังจิตจากผู้มีอภิญญา จึงส่งกระจายมาเก็บไว้ในวัตถุมงคลต่างๆ ได้ เมื่อถึงโอกาสที่เราจะมาใช้งาน ผู้มีวัตถุมงคลในครอบครองก็ต้องอาศัยกำลังจิตของตนเองที่มั่นคง แน่วแน่ ร่วมกับพลังที่มีอยู่ในวัตถุมงคลนั้นๆ มาใช้ให้เกิดผลในแนวทางที่พลังในวัตถุมงคลนั้นกำหนดมา ซึ่งก็ทำให้เกิดสิ่งที่คนทั่วๆ ไปอาจมองว่าเป็น ปาฏิหาริย์ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่อธิบายได้ด้วยวิชาการในพุทธศาสนา และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น